วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

อับราฮัม ลินคอล์น วีรบุรุษคนแรกของโลกผู้ปลดแอกระบบทาส


  สวัสดีครับ วันนี้ผมก็ได้มีโอกาสกลับมาเขียน BLOg อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เขียนมานานนับแรมปี วันนี้ผมก็จะมาเขียน BLOg เนื้อหาเกี่ยวกับที่ผมชื่นชอบและถนัด นั่นก็คือ แนวอัตชีวประวัติหรือ HOW TO ของคนที่ประสบความสำเร็จหรือคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกนั่นเอง

  เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย วันนี้ผมก็จะมานำเสนอบุคคลสำคัญ ซึ่งบุคคลคนนี้ก็เป็นบุคคลที่ผมชื่นชอบและโปรดปรานมาก เพราะด้วยวีรกรรมที่เขาทำ ช่างเป็นเหตุการและเรื่องราวที่น่ายกย่อง ชื่นชม จดจำ และนำไปบอกต่อซะเหลือเกินนี่กระไร

     เราหลายคนคงรู้และทราบกันดีว่า รัชกาลที่๕ ได้ทรงประกาศเลิกทาสในไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับเหล่าทาสชาวไทย และเป็นการเริ่มต้นของที่มาของคำว่า เสรีภาพและประชาธิปไตย แต่ไหนเลยหลายคนคงจะไม่รู้ว่ายังมีบุคคลที่เคยได้ทำการปลดแอกเหล่าทาสเหมือนเหตุการณ์เช่นนี้อยู่อีก ซึ่งเป็นคนแรกและครั้งแรกของโลกด้วยที่สามารถทำได้ แต่เขามิใช่กษัตริย์ แต่เป็นเพียงเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งที่เติบใหญ่และได้กลายมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ "อับราฮัม ลินคอล์น" นั่นเอง

    "อับราฮัม ลินคอล์น" (Abraham Lincoln) เกิดเมื่อวันที่  12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 รัฐเคนตักกี สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรชายคนที่ 2 ในครอบครัวชาวนาที่มีฐานะยากจนมาก ลินคอล์นน้อยต้องช่วยพ่อทำงานอย่างหนักในไร่ตั้งแต่ยังเล็กด้วยวัยเพียง 8 ขวบเท่าน้ัน ไม่เพียงเท่านั้นเขาต้องสูญเสียแม่อันเป็นที่รักไปเนื่องจากป่วยไข้เมื่อเขาอายุได้เพียง 9 ขวบ

 
   เมื่อเสียภรรยาไปพ่อของลินคอล์นก็ได้มีเมียใหม่เป็นหญิงม่ายพร้อมลูกติดอีก 3 คน แต่นับเป็นโชคดีที่แม่เลี้ยงของเขา "ซาร่าห์" เป็นคนดี มีจิตใจอ่อนโยนเมตตา และเอ็นดูรักใคร่เขาเป็นอย่างมากไม่ต่างจากบุตรของตนเลยทีเดียว ซาร่าห์ชื่นชอบนิสัยของลินคอล์นตรงที่ เป็นเด็กขยัน ไม่เลี่ยงงาน มีความซื่อสัตย์ ไม่เคยพูดโกหก และที่สำคัญเขายังมีลักษณะนิสัยที่ชื่นชอบ และรักการอ่านหนังสือเป็นพิเศษอีกด้วย



   ในวัยเด็กฐานะครอบครัวของลินคอล์นถือว่ายากจน และพ่อของเขาเองซึ่งไร้การศึกษาจึงไม่สนับสนุนและอยากให้เขาหยิบจับหรืออ่านหนังสือและเข้าเรียนมากนักเนื่องจากต้องการให้ลินคอล์นช่วยเขาทำไร่ทำนานั่นเอง  แต่นั่นทำให้ลินคอล์นไม่ค่อยชอบใจนัก ทั้งชีวิตลินคอล์นจึงมีโอกาสได้รับการศึกษาจากโรงเรียนรวมๆแล้วเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่โชคดีที่ในวัยเด็กแม่ของเขาได้เคยสอนลินคอล์นอ่านเขียนจึงทำให้เขารู้หนังสือตั้งแต่ยังเล็ก กอปรกับแม่เลี้ยงที่คอยหาหนังสือดีๆมาให้ลินคอล์นหมั่นอ่านศึกษาหาความรู้เนื่องจากรู้ว่าลินคอล์นรักในการอ่านและไฝ่หาความรู้เป็นอย่างมาก เมื่ออ่านและอยู่กับหนังสือแล้วลินคอล์นมักฝันถึงอนาคตที่สดใสที่รอเขาอยู่นอกเหนือจากความซ้ำซาก จำเจ อันน่าเบื่อหน่ายจากการทำไร่นาช่วยพ่อซึ่งเขาไม่ได้ชื่นชอบมันเลย

   ในวัย 22 ปี ลินคอล์น ก็ตัดสินใจออกเดินทางพร้อมด้วยเงินเก็บที่มีติดตัวอยู่เพียงน้อยนิด มุ่งสู่เมืองนิวซาเลมเมืองเล็กๆในรัฐอิลลินอยส์ โดยการไปขอสมัครเป็นพนักงานร้านขายของชำแห่งหนึ่งในเมืองนั้น

   ชาวเมือง ลูกค้า และคนในระแวกนั้นต่างก็ชื่นชอบและชอบพออับราฮัมกันแทบทุกคน เนื่องด้วยลินคอล์นนั้นเป็นคนสุภาพซ้ำยังเป็นคนคุยสนุกและมีอารมณ์ขันอีกด้วย ลินคอล์นได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกค้าและทุกๆคนทุกๆฐานะอาชีพ รู้ตัวอีกทีไม่นานลินคอล์นก็กลายเป็นที่รักใคร่และขวัญใจของชาวเมืองและคนแถวนั้นไปแล้ว

   ในปี ค.ศ. 1832 ท่ามกลางเสียงเรียกร้องและการสนับสนุนจากบรรดาผองเพื่อนและคนในเมือง ลินคอล์นจึงตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก แต่เขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่การเลือกตั้งไป แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ทำให้เขามีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากขึ้น

   
   อีก 2 ปี ต่อมาด้วยวัย 25 ปี เขาก็ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ครั้งนี้เขาประสบความสำเร็จในการชนะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งอิลลินอยส์จนได้ ต่อมาเพื่อนของเขาซึ่งเป็นทนายความก็ได้แนะนำให้เขาเข้าเรียนหรือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านกฏหมาย แต่เขาไม่มีเงินมากนักเขาจึงต้องหาหนังสือเก่าหรือหนังสือมือสองเกี่ยวกับด้านกฎหมายมาอ่าน บ้างก็เก็บเงินซื้อหนังสือทางด้านนี้มาอ่านเพื่อเพิ่มเติมศึกษาเอาเอง เขาอ่านและง่วนศึกษาอย่างขมักเขม้นและตั้งใจอยู่กว่า 3 ปี จนในที่สุดเขาก็สามารถสอบผ่านและสามารถเป็นทนายความได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ จากนั้นด้วยวัย 28 ปีเขาก็มุ่งหน้าสู่เมืองสปริงฟิลด์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐอิลลินอยส์เพื่อทำงานเป็นทนายความในสำนักงานกฏหมายของเพื่อนของเขานั่นเองโดยได้ร่วมเป็นหุ้นส่วนของสำนักงานกฏหมายแห่งนี้ด้วย

   จากหน้าที่การงานของเขาในเมืองนี้ ทำให้ฐานะของลินคอล์นเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ เขามีโอกาสได้คลุกคลีกับบุคคลชั้นสูง และนั่นทำให้เขาได้พบและรู้จักชอบพอกับบุตรสาวจากตระกูลเศรษฐี  "แมรี่ แอนน์ ทอดด์ (Mary Ann Todd) แต่บิดาและมารดาของแมรี่ไม่ค่อยชอบลินคอล์นสักเท่าไรนักเนื่องจากรังเกียจฐานะของลินคอล์นที่ยากจนและต่ำต้อย แต่สุดท้ายอย่างไรทั้งสองก็ได้เข้าพิธีแต่งงานกัน ขณะนั้นลินคอล์นอายุ 33 ปี และแมรี่อายุ 24 ปี



    ด้วยความที่ลินคอล์นมีความซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ ซ้ำยังมีวาทศิลป์ที่เป็นเลิศ ทุกถ้อยคำที่เขากล่าวล้วนมีพลังและสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังเสมอ  ในปี ค.ศ. 1849 ลินคอล์นได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาคองเกรส และในปี ค.ศ. 1856 ลินคอล์นก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน (Republican Party) (ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนนโยบายว่าด้วยเรื่องคัดค้านการค้าทาส) อย่างเป็นทางการ และด้วยบุคลิค นิสัย และวาทศิลป์ของเขา สมาชิกพรรครีพับลิกันจึงได้พร้องใจให้ลินคอล์นเป็นตัวแทนของพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1860 โดยชูนโยบายเลิกทาสเป็นสำคัญ ซึ่งลินคอล์นก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้และได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 แห่งสหรัฐอเมริกาในปีนั้นนั่นเอง

     ลินคอล์นมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาเสรีภาพและความเสมอภาคไว้ในประเทศอันเป็นที่รักของเขา การยกเลิกทาสครั้งนี้จะนำฟ้าใหม่มาสู่ชีวิตของผู้คนจำนวนมากที่เคยตกนรกเพราะถูกขายมาเป็นทาส
และลินคอล์นก็สามารถทำได้สำเร็จตามที่มุ่งมั่น มุ่งหมายไว้ในการยกเลิกระบบทาส แต่น่าเสียดายและเสียใจ หลังคำประกาศเลิกทาสแล้ว อีกไม่นานลินคอล์นก็ถูก จอห์น วิลก์ส บูต นักแสดงชายที่โกรธแค้นในนโยบายการเลิกทาสของเขาลอบสังหารขณะที่ลินคอล์นกำลังนั่งดูละครกับภรรยาของเขาในห้อดูละครของโรงละครฟอร์ด ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1868 และลินคอล์นได้เสียชีวิตจากพิษบาดแผลในวันต่อมาขณะมีอายุได้เพียง 56 ปี


 





   แม้ลินคอล์นจะจากไปด้วยวัยก่อนสมควร ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น หากแต่คุณงามความดีที่เขาได้สร้างไว้แด่มวลมนุษย์ยังคงถูกขับขานมาจนถึงทุกวันนี้ การต่อสู้เพื่อให้เกิดการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกาไม่เพียงช่วยปลดปล่อยและมอบอิสระเสรีภาพในฐานะมนุษย์ให้แก่เหล่าทาสในอเมริกาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นต้นแบบและส่งอิทธิพลผลักดันให้ประเทศอื่นๆในโลกนี้ต้องเลิกทาสตามไปด้วย

    ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติมตามอ่านบทความของผมตั้งแต่ตัวอักษรตัวแรกมาจนถึง ณ ตอนนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความของผมนี้จะสามารถได้ให้ ทั้งความรู้ ข้อคิด สาระ ประโยชน์ ประสบการณ์ เรื่องราว ความสนุกและความเพลิดเพลิน เพื่อเป็นแนวทาง และถ่ายทอดให้กับบุคคลที่ชื่นชอบและสนใจในอัตชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ และทำประโยชน์ให้กับสังคมไม่มากก็น้อย โดยที่เขาเหล่านั้นเกิดมาด้วยต้นทุนที่เริ่มจากศูนย์หรือติดลบ แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ต่อโชคชะตา จึงทำให้เขาสามารถฝ่าฟันทุกเรื่องราวและอุปสรรคไปได้ นะครับ 

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ วาดฝันให้ตัวเองร่ำรวย รวยได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่

     




     มาถึงคนที่ 2 แล้วนะครับ คนนี้ผมก็ชอบมาก และหลายๆคนคงชื่นชอบและรู้จักกัน ในบทคนเหล็กที่ออกมาหลายต่อหลายภาค และดังเป็นพลุแตกกอบโกยเงินกันอื้อซ่าทั้งผู้ผลิต ผู้กำกับและนักแสดง กับหน้านิ่งๆ กล้ามใหญ่เท่าหัวเด็ก และความเป็นอมตะถือลูกซองขี่ช๊อปเปอร์ยิงกันสาดเส แต่มีใครเคยรู้ และสนใจบ้างไหม ว่าเขาคือใคร มาจากไหน ทำไมถึงได้มาเล่นหนัง และรวยได้อย่างไร?? เราจะมาติดตามเรื่องราวของเขากัน

     "ผมมาถึงแคลิฟอร์เนียโดยไม่มีอะไรติดตัวมาแม้แต่อย่างเดียวนอกจาก "ความหวัง" "กระเป๋าออกกำลังกาย" และเงิน 20 ดอลลาร์ ประมาณ 700 บาท นั่นคือทั้งหมดที่ผมมี

     อาร์โนลด์ เกิดที่ออสเตรีย เมื่ออายุ 21 ปี ได้อพยพย้ายมาที่สหรํฐอเมริกา ด้วยเงิน 20 ดอลลาร์และแทบไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยนอกจาก Hi Hello How r u , Yes , No

    หากคนทั่วไปถามว่า อาร์โนลด์รวยได้ไง? หลายคนคงคิดว่าเล่นหนัง  แต่
จริงๆแล้วเขาเป็นเศรษฐีร้อยล้านตั้งแต่ก่อนเล่นหนังเสียอีก

     ในปี ค.ศ. 1967 อาร์โนลด์ชนะเลิศอันดับหนึ่ง "มิสเตอร์ยูนิเวิร์ส" ซึ่งเป็นการประกวดเพาะกายที่ยิ่งใหญ่อันดับ 3 ของโลก เขาสนใจกีฬาเพาะกายมาตั้งแต่เด็ก และมีความฝันอยากเป็นนักแสดงเมื่อโตขึ้น แต่กีฬาเพาะกายหาเงินได้ไม่มากมายนัก ถึงแม้จะได้รางวัลชนะเลิศที่หนึ่งทุกเวทีการประกวดก็ตาม เขาไม่คิดว่านี่จะใช่หนทางที่ทำให้เขารวย

    ดังนั้นเมื่อเขามาถึงอเมริกา เขาจึงมุ่งหน้าไปหา โจ ไวเดอร์ บุคคลคนสำคัญที่ประสบความสำเร็จในวงการเพาะกายของสหรัฐอเมริกา อาร์โนลด์ได้กลายเป็นนายแบบให้นิตยสารเพาะกายของเขา อาร์โนลด์ได้รับ อพาร์ตเมนต์ รถ และค่าจ้างตอบแทนสัปดาห์ละ 200 ดอลลาร์ แต่นั่นก็ยังคงเป็นรายได้ที่ไม่มากพอ เขาจึงต้องหางานเสริม โดยการไปเป็นคนงานก่อสร้างอยู่ที่โรงงานอิฐที่ใช้สำหรับก่อสร้าง ซึ่งมีรายได้ค่อนข้างมาก เพราะจะมีคนที่พร้อมจะจ้างอาร์โนลด์เยอะมาก คนอื่นซ่อมแซมปล่องไฟที่หลังคาบ้านพัง อาจใช้เวลา 1 วัน แต่อาร์โนลด์ก็รู้ๆครับแชมป์เพาะกายกล้ามเท่าหัว ใช้เวลา แค่ 10 นาทีครับ!! เป็นการฝึกกล้ามเนื้อไปด้วย ชิวๆ^^ ผ่านมาอีกแค่ 2 ปี ธุรกิจนี้นั่นเองที่ทำให้เขาเริ่มร่ำรวย!!

     ปี 1970 เขาได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดมิสเตอร์โอลิมเปียซึ่งเป็นเวทีประกวดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา  และเขาก็ได้ที่หนึ่งในเวทีนี้ติดต่อกันถึง 6 ปี นั่นทำให้เขาโด่งดังมากยิ่งขึ้น

   อาร์โนลด์ใช้เงินที่เขาหามาได้ไปลงทุนกับธุรกิจใหม่ที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเอง นั่นก็คือ การขายเครื่องมือฝึกเพาะกาย และแต่งหนังสือวิธีการฝึกเพาะกายของเขาผ่านทางไปรษณีย์ ผู้คนให้การตอบรับเขาเป็นอย่างมาก ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และนั่นเองทำให้เขามีรายได้ที่มากมายอย่างท่วมท้น และเขาได้นำกำไรที่หามาได้มาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์อีก ธุรกิจของเขาสร้างเม็ดเงินอย่างมากมาย นั่นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีก่อนเข้าวงการภาพยนต์ฮอลลีวู้ดเสียอีก!!

   ปี 1980 อาร์โนลด์เข้าวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอย่างเต็มตัว และได้ฝากผลงานไว้หลายต่อหลายเรื่อง เช่น คนเหล็กหลายต่อหลายภาค ที่เราได้ติดตามได้ดูชมกันในบ้านเราอย่างโด่งดัง

   ปึ ค.ศ.2006 อาร์โนลด์ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนใหญ่ที่จะได้จะเป็นของพรรคเดโมแครต แต่อาโนลด์อยู่รีพับลิกันกลับหักปากกกาเซียนชนะไปได้ ด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นขาดลอยทั้งๆที่เป็นคนออสเตรียจึงทำให้มีคนหมั่นไส้อาร์โนลด์ไม่น้อย

   ปี ค.ศ.2007 คาดว่าอาร์โนลด์น่าจะมีทรัพย์สมบัติที่หามาได้จากธุรกิจของเขา ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหนัง ธุรกิจส่วนตัว อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งผู้ถือหุ้นในบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ เช่น โคคา-โคลา เป๊บซี่ สตาร์บัคส์ และอื่นๆ อยู่ราว 800-900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(24,000-27,000 ล้านบาท) เรียกอย่างเต็มปากว่า "เศรษฐีพันล้าน" ได้ละครับทีนี้  เขาจึงโชว์เก๋าไม่ขอรับเงินเดือนการเมืองจากการที่เป็นผู้ว่ารัฐ ด้วยสาเหตุที่ว่ารวยแล้ว!!

     อาร์โนลด์เป็นคนที่มีความอดทน และความพยายามเป็นอย่างสูง  เขาต้องฝึกกล้ามเนื้ออย่างหนักตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เด็กจนติดตัวเป็นนิสัยจนถึงปัจจุบัน ตามคำสอนของพ่อของเขาที่เป็นนักกีฬา และเขาต้องฝึกพูดถาษาอังกฤษอย่างหนักโดยการเข้าเรียนภาษาถึงสามมหาวิทยาลัย และฝึกซ้อมพูดอย่างหนัก จนปัจุบันาแทบไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนออสเตรียเลยทีเดียว!!

    และอาร์โนลด์เป็นคนที่ทะเยอทะยานตั้งเป้าตัวเองไว้สูง และต้องทำให้ได้ด้วยการฝึกฝนตนเองอย่างหนัก ด้วยความอดทนและพยายาม "ไม่มีอะไรที่ได้มาเพราะโชคช่วยโดยการที่เราไม่ลงมือทำอะไร" นั่นเองจึงเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและเป็นอภิมหาเศรษฐีคนดังที่ทั่วทั้งโลกต่างรู้จักและยอมรับ

  เป็นไงกันบ้างครับชีวประวัติคร่าวๆย่อๆของ เฮียคนเหล็ก แซ่บถึงกึ๋นกันทุกคนไหมครับ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนอีกเช่นเคยที่ติดตามอ่านผลงานของผมจนจบนะครับ หวังว่าคงจะมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากว่า โอ้ว!! เจ๋งว่ะ เก่งแท้ แน่มาก เฮียโนลด์ อิอิ -------> แล้วพบกันใหม่กับชีวประวัติคนดังคนต่อไปโพสต์หน้าครับ   ( ชอบกด Like ใช่กด Love ด้วยนะครับ ฮี่ๆบะ บายย) เขียนโดย ใหญ่ จิรชยุตม์


ขอบคุณที่มา หนังสือวิชาเศรษฐี เขียนโดย พังฮยอนชอล

รูปภาพ google search







    
  
  
 

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Henry Ford เฮนรี่ ฟอร์ด ตำนานผู้ผลิตรถยนต์

  



      วันนี้ผม ใหญ่ จิรชยุตม์ จะเปลี่ยนแนวมาเขียน Blog เกี่ยวกับชีวประวัติคนดัง หรือคนที่ผมชื่นชอบและสนใจนะครับ ( อยากเขียนมานานแล้ว ชอบอ่านก็เลยอยากลองเขียนและนำเสนอแบ่งปันให้เพื่อนๆ ที่ชื่นชอบและสนใจคอแนวเดียวกันนะครับ ) เอาล่ะครับ เราจะมาเริ่มทำความรู้จักกันกับคนดังคนแรกเลยนะครับ นั่นก็คือ "เฮนรี่ ฟอร์ด" ตำนานผู้ผลิตรถยนต์ เชื่อว่าเพื่อนๆคงรู้จักกัน เพราะเขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท และผลิตรถยนต์ยี่ห้อ "ฟอร์ด" ที่เรารู้จักกันดีนั่นเองครับ!!

      เฮนรี่ ฟอร์ด เกิดในปี ค.ศ. 1863 ที่เมืองเดียร์บอร์น มลรัฐมิชิแกนในไร่ที่มีพ่อแม่เป็นชาวไอริช และแม่ซึ่งเป็นชาวฮอลแลนด์ ในวัยเด็กฟอร์ดมีแววชอบการประดิษฐ์คิดค้น และใช้ความชอบนี้ประดิษฐ์เครื่องจักร เครื่องมือต่างๆเพื่อช่วยทุ่นแรงในการทำงานบนไร่ของพ่อแม่

     ฟอร์ดเกิดในตระกูลที่ยากจน แถมยังมีพี่น้องถึง 8 คน เขาจึงได้รับการศึกษาที่ไม่ดีนัก ในโรงเรียนเล็กๆ ที่มีเพียงห้องเรียนเดียวเท่านั้น ในวัยเด็กพ่อของฟอร์ดได้ให้นาฬิกามาเรื่อนหนึ่ง เขารื้อและประกอบมันขึ้นใหม่หลายต่อหลายครั้ง รวมถึงนาฬิกาของเพื่อนๆเขาด้วย จนในที่สุดเขาก็ได้เป็นช่างซ่อมนาฬิกา!!

    วันนึงฟอร์ดได้เห็นรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ ทำให้เขาเกิดความคิดที่อยากจะผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแก๊สหรือน้ำมันขึ้นมา

    หลังจากแม่เสียชีวิต พ่อของฟอร์ดได้มอบกิจการไร่ฟาร์มของครอบครัวให้เขาดูแล แต่ฟอร์ดกลับไม่รู้สึกยินดี เพราะนั่นไม่ใช่งานที่เขาชอบ เขาจึงออกจากบ้าน เมื่ออายุ 16 ปี เขามุ่งหน้าไปที่เมืองดีทรอยต์ เขาได้งานเป็นช่างฝึกหัดและได้ทำงานเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์

     ปี ค.ศ. 1891 เขาได้กลายเป็นวิศวกรให้กับบริษัทสถานีไฟฟ้า ที่ก่อตั้งโดย โทมัส อัลวา เอดิสัน (สุดยอดนักประดิษฐ์ระดับโลก) และเลื่อนเป็นหัวหน้าวิศวกรในอีก 2 ปีต่อมา ช่วงระยะเวลานี้เขามีเวลาว่างมากพอที่จะเรียนรู้และทดลองในเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์เบนซิน

      ก่อนที่ฟอร์ดจะประสบความสำเร็จ เขาต้องผ่านความล้มเหลวถึงสองครั้ง โดยบริษัทแรกที่เขาก่อตั้งขึ้นคือ บริษัทรถยนต์ดีทรอยต์ ฟอร์ดอยู่เบื้องหลังในการออกแบบและผลิตรถยนต์ โดยมีวิลเลี่ยม เอช เมอร์ฟี่ เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้เขา แต่ผ่านมา 1 ปี บริษัทก็ล้มละลาย เพราะรถที่ผลิตออกมามีราคาแพงไป  ฟอร์ดไม่ยอมแพ้ ขอโอกาสครั้งที่สองเรื่องเงินทุนกับเมอร์ฟี่อีกครั้งเพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ และเมอ์ฟี่ยินดีจะช่วยเหลือ แต่ท้ายที่สุดบริษัทก็ล้มเหลวอีกครั้ง

   อย่างไรก็ตาม ฟอร์ดไม่ยอมแพ้ เขาก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่อีกครั้งในชื่อ "ฟอร์ด มอเตอร์" เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1903 แต่ครั้งนี้มีแหล่งเงินทุนใหม่ที่ยินดีพร้อมจะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ นั่นก็คือ เลกซานเด มาลคัมสัน และด้วยความช่วยเหลือนี้เอง ทำให้เขาสามารถออกแบบรถยนต์ราคาถูกและทนทาน และทำให้บริษัทของเขามั่นคงและโด่งดังจนมาถึงทุกวันนี้

       เฮนรี่ ฟอร์ด อาจจะไม่ใช่นักประดิษฐ์รถยนต์ที่เก่งที่สุดในโลก แต่เขาไม่เป็นรองใครในการทำธุรกิจด้านรถยนต์ เพราะเขาสามารถผลิตรถยนต์ที่มีรูปทรงดูดีขึ้น มีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น และมีราคาลดลงไปกว่าเดิมเรื่อยๆ ในยุคที่คนทั่วไปมองว่ารถยนต์เป็นของอันตรายและไว้ใจไม่ได้อีกทั้งมีราคาที่แพงมากไป

    ในปี ค.ศ. 1925 บริษัทสามารถผลิตรถยนต์ 10,000 คันต่อวัน ซึ่งพลังการผลิตนี้คิดเป็น  60% ของรถที่ผลิตออกมาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา

    นอกจากผลิตรถยนต์แล้วบริษัทฟอร์ดยังกระโดดเข้ามาทำธุรกิจผลิตเครื่องบินอีกด้วย ซึ่งเครื่องบินที่ประสบความสำเร็จของฟอร์ดมากที่สุดคือ Ford  4ATrimotor บรรทุกผู้โดยสารได้ทั้งสิ้น 12 คน ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาที่เครื่องบินสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้

     เฮนรี่ ฟอร์ด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 เมษายนต์ ค.ศ.1947 ที่แฟร์เลน ด้วยวัย 84 ปี บ้านในเมืองเดียร์บอร์นของเขา และร่างของเขาถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานฟอร์ดในกรุงดีทรอยด์ แม้จะจากไปนานแล้วกว่า 6 ทศวรรษแต่ชื่อของเขาก็กลายเป็นตำนานแห่งวงการผู้ผลิตรถยนต์แบบใหม่มาจนถึงทุกวันนี้


    เป็นไงกันบ้างครับ ?? กับคนดังคนแรกที่ผมนำมาเสนอ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามอ่านกันนะครับ ชอบหรือไม่ชอบตรงไหนก็ติชมกันมาได้เลยนะครับ ถ้าชื่นชอบก็กด Like ถ้า ใช่ก็กด แชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ แล้วมาลุ้นกันว่า โพสต์หน้าจะเป็นใครที่ผมจะมานำเสนอนะครับ หรือเพื่อนๆอยากรู้หรือติดตามชีวประวัติใครก็ ment บอกได้เลยนะครับ แล้วผมจะรีบนำมาลงให้โดยเร็วที่สุดเลยล่ะครับ ^^ วันนี้ขอบายไปก่อนแล้วพบกันใหม่ครับ บทความเขียน โดย ใหญ่ จิรชยุตม์ 


ข้อมูลที่มา ---->   หนังสือ เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่ โดย ทศ คณนาพร และวัชระ จึงสง่า
                         - google search